การสักคิ้ว 6 มิติกับ 3 มิติ

การสักคิ้ว 6 มิติกับ 3 มิติ มีข้อควรรู้ก่อนและหลังทำอย่างไร

สำหรับสาว ๆ ที่มีคิ้วบางทำให้ไม่หมั้นใจในตัวเอง และต้องคอยเติมคิ้วอยู่ตลอดเวลา และในปัจจุบันมีการสักคิวแบบถาวรที่สาว ๆ ให้ความสนใจกันมากที่สุด และการสักคิ้วถาวรสามารถสักได้หลายรูปแบบแต่ที่สาว ๆ นิยมสักกันมากที่สุดคือการสักคิ้วแบบ 3 มิติ และการสักคิ้ว 6 มิติ ซึ่งทั้งสองแบบมีความแตกต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะพาคุณไปทำความรู้จักการสักคิ้วทั้งก่อนทำหรือหลังทำว่าเป็นอย่างไรพร้อมแล้วเราไปดูรายละเอียดกันเลย

ข้อแตกต่างของการสักคิ้ว 3 มิติ กับ คิ้ว 6 มิติ แตกต่างกันอย่างไร

สำหรับการสักคิ้วแบบ 3 มิติ และ 6 มิติมีความแตกต่างกันอย่างแน่นอน แต่จะมีความแตกต่างกันอย่างไรไปดูกันเลย

การสักคิ้ว 3 มิติ โดยทั่วไปที่ทำกันในวงการคิ้วปัจจุบัน ก็คือการสักคิ้วมิติลายเส้นที่เลียนแบบขนคิ้วจริง และอีกแบบก็คือ การสักคิ้ว 3 มิติ แบบการสักสไลด์เฉดสีคิ้วเลียนแบบการเขียนคิ้วทั่วไป

ส่วนการสักคิ้ว 6 มิติ จริง ๆ แล้วเป็นชื่อเรียกเชิงเปรียบเทียบ สำหรับคำนี้เป็นการบัญญัติคำขึ้นของ Mr.David Zhang จากประเทศสิงคโปร์ เพื่อเป็นการสร้างความแตกต่างเป็นกลยุทธ์ทางตลาด เพื่อสร้างความโดดเด่นในผลงาน โดยเกิดจากประสบการณ์ และใช้เทคนิคในงานสักคิ้วที่มีความละเอียด ดูพลิ้วเหมือนจริงมากขึ้น

ประโยชน์ของการสักคิ้ว

ทำให้รู้สึกเหมือนมีคิ้วจริง มีเส้นขนพริ้ว เหมือนธรรมชาติ แก้ปัญหาคิ้วบาง คิ้วไม่เป็นรูปทรง ไม่ต้องเสียเวลาในการเขียนคิ้ว ประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องอุปกรณ์เขียนคิ้ว สามารถออกแบบโครงสร้างคิ้วก่อน ได้ตามใจเราต้องการ เสริมบุคลิกให้ดูดีเหมาะกับตัวเรา เพิ่มความสวยสร้างความมั่นใจ ไม่ต้องกลัวคิ้วหาย

ผลข้างเคียงจากการสักคิ้ว

แม้จะมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงน้อย แต่ผู้ที่สักคิ้วควรหมั่นสังเกตอาการที่เป็นสัญญาณปัญหาสุขภาพ หากพบสิ่งผิดปกติ ควรสอบถามสถานประกอบการที่ไปสักมา หรือปรึกษาแพทย์โดยปัญหาที่อาจพบได้หลังการสักคิ้ว ได้แก่ ได้ผลลัพธ์ไม่เป็นที่น่าพอใจ และแก้ไขได้ยาก เกิดการอักเสบ หรือเกิดตุ่มเนื้ออักเสบเล็ก ๆ นูนขึ้นใต้ผิวหนังรอบ ๆ รอยสัก ผิวหนังเกิดอาการแพ้ เช่น บวม คัน มีรอยแตก ผิวลอกออก หรือมีตุ่มพองใส มีรอยแผลเป็น หรือมีเนื้อเยื่อก่อตัวเป็นแผลเป็นขึ้นจำนวนมาก ติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อต่าง ๆ ที่เป็นอันตราย เช่น ติดเชื้อเอชไอวี ติดโรคไวรัสตับอักเสบ เป็นต้น

ก่อนสักคิ้วต้องทำอย่างไรบ้าง

  1. ถามตัวเองก่อนว่าต้องการจะสักคิ้วจริง ๆ ใช่หรือไม่ เพราะการสักคิ้วถึงแม้ว่าจะทำให้ดูมีคิ้วที่สวยตั้งแต่ตื่นนอนเลย ก็ใช่ว่าจะไม่มีความเสี่ยงอะไร เห็นได้จากข่าวที่มีคนติดเชื้อจากการสักคิ้ว หรือได้รูปคิ้วผิดแปลกไปกว่าเดิมและแก้ไขได้ยาก
  2. เลือกร้านสักคิ้วให้ดี เรื่องความน่าเชื่อถือของร้านเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก ก่อนการตัดสินใจสักคิ้ว รวมถึงช่างสักด้วยที่จะต้องมีความรู้และประสบการณ์ เนื่องจากปัจจุบันมีการเปิดสอนสักคิ้วกันเป็นจำนวนมาก และมีช่างสักคิ้วเกิดขึ้นใหม่ ซึ่งแต่ละสถาบันก็มีมาตรฐานและคุณภาพแตกต่างกัน
  3. คำนึงถึงราคาและคุณภาพ เนื่องจากปัจจุบันนี้การสักคิ้วเป็นที่นิยมกันมาก และมีให้เลือกหลายร้าน สำหรับเรื่องราคาก็จะมีหลายราคา ตั้งแต่หลักพันบาทจนถึงหลักหมื่นบาทขึ้นไป ซึ่งสามารถเลือกได้ตามงบประมาณที่ต้องการ และเลือกได้ว่าจะสักกับช่างคนไหน ทั้งนี้ฝีมือก็ต่างกันจึงควรศึกษาและดูราคาให้ชัดเจน ว่าราคางบประมาณที่เราต้องการ ผลงานจะออกมาสวยพอใจหรือไม่
  4. ควรรู้ถึงน้ำหมึกที่ใช้สักและยาชาที่ใช้ เพราะยาชาปัจจุบันมีหลายชนิด ซึ่งราคาถูกและราคาแพงก็แตกต่างกัน หากเป็นยาชาที่มีคุณภาพสูง จะทำให้เกิดการเจ็บและอักเสบน้อยกว่า ส่วนน้ำหมึกที่ใช้สักก็สำคัญมาก เนื่องจากจะมีผลที่ทำให้ติดและไม่ติดทนนานได้ ต้องดูเรื่องคุณภาพของสีว่าเป็นสีราคาถูกหรือสีปลอมหรือไม่
  5. ควรทราบถึงอุปกรณ์เครื่องมือที่ใช้ด้วย เพราะมีหลายประเภทหลายชนิด แล้วแต่ลักษณะการใช้งานสัก ซึ่งถ้าเป็นลายเส้นก็จะใช้ใบมีดที่มีความคมมาก ๆ และจะทำให้ไม่เจ็บ แต่ถ้าเป็นการสักคิ้วสไลด์ทึบก็จะใช้เครื่องสักไฟฟ้าที่มีรอบสั่นสะเทือนสูงในการสัก แต่ปัจจุบันมีเครื่องสักที่เป็นระบบดิจิตอลที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้สีสักติดได้ง่ายและติดทนนานได้ดี

หลังสักคิ้วต้องทำอย่างไรบ้าง

  1. หลีกเลี่ยงการโดนน้ำบริเวณคิ้วอย่างน้อย 5-7 วัน และสามารถทำความสะอาดคิ้วอย่างเบามือ โดยใช้ผ้าสะอาดซับเบาๆ ให้แห้งทันทีที่โดนน้ำ
  2. หลีกเลี่ยงการโดนครีม Make up Remover หรือ Moisturizer ต่าง ๆ เนื่องจากจะทำให้เส้นสีแตกตัว ยกเว้นครีมบำรุงที่แนะนำเท่านั้น ซึ่งจะแตกต่างจากการสักปากชมพู ที่ต้องทาลิปกลอสให้ชุ่มตลอด เพื่อให้สีเนียนเสมอกัน
  3. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย การซาวน์น่า การโดนแดดจัด ๆ ไม่ควรทำให้มีเหงื่อออกมาก ๆ ห้ามแกะ ห้ามเกา หรือสัมผัสรุนแรงเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้อักเสบติดเชื้อ และเส้นสีคิ้วหลุดได้
  4. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ของหมัก ของดอง และอาหารที่มีรสจัดเผ็ดร้อน เนื่องจากธาตุร้อนต่าง ๆ จะขับสีออกมากับเหงื่ออาจจะทำให้สีไม่ติดได้
  5. หมั่นทาครีมบำรุงที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำเท่านั้น หลังการสักอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อวัน ในกรณีที่คันมีสะเก็ดหลุด