โรคกระเพาะฟังดูแล้วอาจจะไม่น่ากลัว บางคนคิดว่าเป็นแล้วก็คงจะหาย บางคนก็อยู่กับความเจ็บปวดทรมานจนเคยชิน หิวข้าวก็ปวดท้อง กินอิ่มแล้วก็ยังปวดท้องอีก ด้วยภาวะสังคมที่เร่งรีบและชีวิตประจำวันที่วุ่นวาย หลายคนจึงปล่อยปละละเลย ทำให้เกิดพฤติกรรมและปัจจัยที่ส่งเสริมทำให้เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร และโรคแผลในกระเพาะอาหารสามารถแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 3 กลุ่มคือ โรคกระเพาะอาหารชนิดที่ไม่มีแผล พบได้มากที่สุดประมาณ 70-80% รองลงมาคือโรคแผลในกระเพาะอาหาร พบประมาณ 10-20% และสุดท้ายคือโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร พบประมาณ 2% ของผู้ป่วยที่มาด้วยอาการปวดท้อง ซึ่งสงสัยว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร โรคแผลในกระเพาะอาหารอาจจะไม่ใช่โรคที่รุนแรงมากนัก แต่หากปล่อยปละละเลยอาจทำให้เราเป็นมากอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ทางที่ดีรู้ว่ามีอาการโรคกระเพาะควรไปปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อรักษาให้หายขาดจะดีที่สุด
อาการของโรคแผลในกระเพาะอาหาร
อาการของโรคแผลในกระเพาะอาหารที่มักพบได้บ่อย ๆ ก็คือ อาการปวดท้องหรือแสบที่กระเพาะอาหาร มักมีอาการตอนท้องว่างหรือประมาณ 2-3 ชั่วโมงก่อนมื้ออาหาร อาจตื่นกลางดึกจากอาการปวดหรือแสบท้อง อาการจะดีขึ้นเมื่อรับประทานอาหารหรือยาลดกรด และอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วยดังต่อไปนี้
- แสบร้อนกลางอก
- คลื่นไส้ อาเจียน
- หายใจลำบาก
- รู้สึกจะเป็นลม
- น้ำหนักลดลง
- เบื่ออาหาร
- อาหารไม่ย่อย
- เรอ แน่นท้อง หรือท้องอืด หลังรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง
หากคุณมีอาการเหล่านี้รับประทานยาลดกรดแล้วอาการยังไม่หายดี ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนหากอาเจียนเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด รู้สึกเจ็บแปลบที่ท้อง หรือมีอาการแย่ลง
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร
- ติดเชื้อโรคบางชนิดในกระเพาะอาหาร เช่น เชื้อแบคทีเรีย H. pylori, เชื้อรา ไวรัส หรือเชื้อวัณโรค
- ได้รับยาที่มีฤทธิ์กัดกร่อนเยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร เช่น ยาแก้ปวดแก้อักเสบในกลุ่ม NSAIDs
- ได้รับยาต้านเกล็ดเลือดหรือยาละลายลิ่มเลือด เช่น แอสไพริน (aspirin), clopidogrel, ticlopidine, warfarin เป็นต้น
- ได้รับยากลุ่มสเตียรอยด์ (steroid) โดยเฉพาะเมื่อได้ยานี้ร่วมกับ aspirin หรือ NSAIDs
- ผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัวร่วม เช่น โรคตับแข็ง (liver cirrhosis), โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD), ไตวายเรื้อรัง (CRF), ผู้ป่วยหนัก (criticalillness), โรคเยื่อบุอักเสบ Behcet, ลำไส้อักเสบชนิด Crohn, ปลูกถ่ายอวัยวะ (organ transplantation), primary hyperparathyroidism,
eosinophilic gastroenteritis, เนื้องอกทางเดินอาหารชนิด gastrinoma, ได้รับการฉายรังสีช่องท้องในขนาดสูง เป็นต้น
- ได้รับยาเคมีบำบัดบางชนิดหรือใช้สารเสพติดประเภทโคเคน (cocaine), methamphetamine
- ภายหลังการตัดเลาะติ่งเนื้องอกหรือมะเร็งกระเพาะอาหารระยะต้นออกโดยผ่านการส่องกล้อง (Post-endoscopic submucosaldissection induced ulcer; Post-ESD induced ulcer)
- สูบบุหรี่ (ส่วนแอลกอฮอล์จะเป็นปัจจัยเสริมที่ทำให้ผิวกระเพาะอาหารเกิดการอักเสบ)
การรักษาแผลในกระเพาะอาหาร
การดูแลและรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารสามารถรักษาได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับสาเหตุของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร อย่างเช่น การใช้ยา หรือการผ่าตัดในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง วิธีการรักษามีรายละเอียดแตกต่างกันดังนี้
- การใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน (Amoxicillin) คลาริโธรมัยซิน (Clarithromycin) เมโทรนิดาโซล (Metronidazole) ทินิดาโซล (Tinidazole) เตตราไซคลีน (Tetracycline) ลีโวฟลอกซาซิน (Levofloxacin) เป็นต้น สำหรับในการรักษาการติดเชื้อจากแบคทีเรียเอชไพโลไรบางทีอาจจำเป็นต้องใช้ยาหลายอย่างอย่างเช่น สูตรยา Triple Therapy รับประทานต่อเนื่องนานประมาณ 10-14 หลังสิ้นสุดการใช้ยาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ ควรกลับมาทำการทดสอบยืนยัน (Confirmation Test) ว่ากำจัดเชื้อแบคทีเรียได้สำเร็จหรือไม่ ด้วยการทดสอบแบบ Non-Invasive: UBT หรือการตรวจอุจจาระ เป็นการตรวจที่ราคาไม่แพงแล้วก็มีคุณภาพสูง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะที่มีเชื้อเอชไพโลไร ผู้ป่วยที่มีอาการอาหารไม่ย่อยเป็นประจำ (Persistent Dyspepsia) คนไข้โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิด MALT และคนไข้โรคมะเร็งกระเพาะอาหารระยะเริ่มต้นที่ได้รับการตัดรอยโรคหรือตำแหน่งที่มีความผิดปกติออกแล้ว
- การใช้ยา Proton pump inhibitors: PPIs ได้แก่ โอเมพราโซล (Omeprazole) แลนโซพราโซล (Lansoprazole) ราบีพราโซล (Rabeprazole) อีโซเมปราโซล (Esomeprazole) แพนโทพราโซล (Pantoprazole) เป็นต้น เพื่อยับยั้งการสร้างกรดแล้วก็รักษาแผลในกระเพาะ ถ้าใช้ยาในจำนวนมากและก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน อาจทำให้เป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาได้ เช่น ตาลาย ปวดหัว ท้องร่วงหรือท้องผูก เจ็บท้อง รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงต่อกระดูกสันหลัง กระดูกข้อมือ หรือกระดูกสะโพกหักได้
- การใช้ยา H2-Receptor Antagonists เช่น แรนิทิดีน (Ranitidine) ฟาโมทิดีน (Famotidine) ไซเมทิดีน (Cimetidine) เป็นต้น เพื่อยับยั้งการสร้างกรดแล้วก็รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
- การใช้ยาเคลือบกระเพาะ เช่น ซูคราลเฟต (Sucralfate) ไมโซพรอสทอล (Misoprostol) เป็นต้น เพื่อปกป้องเยื่อบุในกระเพาะและลำไส้เล็กจากการทำลายของกรด
- การผ่าตัด มักใช้ในผู้ป่วยที่เป็นแผลในกระเพาะแล้วไม่เข้ารับการดูแลและรักษา มีเลือดไหลในกระเพาะ กระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กฉีกขาด เป็นต้น
- การปรับการใช้ยาในผู้ป่วยแผลในกระเพาะอาหารที่มีสาเหตุมาจากการใช้ยาเอ็ดเสด (NSAIDs) โดยเปลี่ยนเป็นพาราเซตามอลหรือยาแก้ปวดต้านการอักเสบในกลุ่มเอ็นเสดอื่นๆที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลในกระเพาะได้น้อยกว่า ได้แก่ เซเลโคซิบ (Celecoxib) ซึ่งเป็นยาในกลุ่ม COX-2 Inhibitor เป็นต้น
การป้องกันไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร
การป้องกันไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่าง โดยสามารถทำได้ง่าย ๆ ดังต่อไปนี้
- รับประทานอาหารที่มีคุณประโยชน์ อาทิเช่น ธัญพืช ผัก ผลไม้ โดยยิ่งไปกว่านั้นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอและก็วิตามินซี รวมทั้งอาหารที่อุดมไปด้วยจุลินทรีย์ที่มีชีวิต (Probiotics) เช่น โยเกิร์ต ชีส
- หลีกเลี่ยงการดื่มนม เนื่องจากอาจช่วยลดอาการปวดท้องในเบื้องต้น แต่จะเพิ่มปริมาณของกรดในกระเพาะและทำให้มีลักษณะอาการปวดที่รุนแรงมากขึ้นในภายหลัง
- ถ้าหากใช้ยาบรรเทาอาการปวดเป็นประจำ ควรจะปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่ช่วยบรรเทาอาการปวดอื่นๆอาทิเช่น เลือกใช้พาราเซตามอล หรืออะเซตามิโนเฟน เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร
- จัดการหรือรับมือกับความเครียดด้วยการบริหารร่างกาย ใช้เวลากับเพื่อน หรือทำกิจกรรมต่างๆที่ชื่นชอบ เนื่องจากความเครียดอาจทำให้อาการของแผลในกระเพาะแย่ลงได้
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่จะทำปริมาณกรดในกระเพาะเพิ่มมากขึ้น และบางทีอาจมีผลต่อเยื่อบุกระเพาะอาหาร
- ลดปริมาณหรือหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากว่าการดื่มแอลกอฮอล์ในจำนวนมากจะไปกัดชั้นเมือกในกระเพาะ ทำให้เกิดการระคายเคือง เป็นสาเหตุให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้ และไม่ควรจะกินยาพร้อมกับการดื่มแอลกอฮอล์
- ล้างมือให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอและก็นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อปกป้องการติดเชื้อแล้วก็เสริมสร้างระบบภูมิต้านทานให้แข็งแรง รวมถึงหลีกเลี่ยงการทานอาหารในช่วงก่อนนอน
โรคแผลในกระเพาะอาหารสามารถป้องกันได้ง่าย ๆ หากคุณทำตามที่เราแนะนำรับรองได้เลยว่าโรคแผลในกระเพาะอาหารจะไม่มากวนใจคุรอย่างแน่นอน และที่สำคัญควรรับประทานอาหารให้ตรงเวลาด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่หิวก็ตามถึงเวลากินแล้วก็ต้องกิน เพื่อป้องกันการเกิดโรคแผลในกระเพาะอาหารได้นั่นเอง